
ตั้งแต่เกิดจนอายุ 12 ปี ผมมักไม่สบายบ่อย เจ็บออด ๆ แอด ๆ ตอนเรียนประถมเข้าห้องพยาบาลบ่อยมาก
ตอนผมไม่สบาย มักไม่ตัวร้อน แต่จะเกิดภาพหลอน คือภาพคนหลายคน ในความคิดแว่บขึ้นมาว่าประมาณ 1 ล้านคน กำลังวิ่งเข้าใส่กัน
คน พวกนั้นไม่ใช่ทหาร แต่แต่งตัวหลากสีหลายแบบคละกันไป วิ่งเข้าใส่กันเพื่อฆ่ากัน ในใจผมนึกแว่บขึ้นมาว่าเป็นชาวเขมร แต่ตอนนั้นยังเด็กยังไม่รู้เรื่องประวัติศาสตร์โลกน้่อยมาก มารู้ภายหลังว่าเขมรมีการฆ่าล้างเผ่าพันธ์กันตายไปประมาณ 2 ล้านคน
เป็น 12 ปีที่ทรมานพอสมควรเวลาไม่สบาย ในใจรู้สึกได้ว่าเราเป็นต้นเหตุให้คนฆ่ากันเป็นล้าน หลังขึ้น ม.ต้นอาการเหล่านั้นก็หายไปแต่มีอาการอื่นมาแทน คือ อาการนอนแล้วตื่นขึ้นมาลุกขึ้นไม่ได้ ทรมาน อึดอัดมาก พออึดอัดก็ฮึดสู้ กัดฟันลุกขึ้นมา ปรากฏว่ารู้สึกว่าเราออกมาจากร่างกายตัวเอง มองเห็นตัวเองนอนอยู่ เป็นอยู่หลายครั้ง รู้สึกกลัวมาก
พ่อของผมทำงานอยู่ที่วัด เป็นคนนำพระสวด ท่านมักนำหนังสือธรรมมะมาให้อ่านประจำ ผมก็ชอบอ่านมาก
ผมอ่านหนังสือธรรมมะทำให้ได้รู้สิ่งที่พระพุทธเจ้าสอน พอโตขึ้น ผมก็รู้อึกว่า
1. คนส่วนใหญ่นับถือพระธรรมและพระพุทธเจ้า แต่ก็ไม่ได้เชื่อฟังพระพุทธเจ้าเท่าไรนัก เช่นพระพุทธเจ้าบอกว่า ฤกษ์งามยามดีเป็นสิ่งที่คนเราคิดไปเอง ฤกษ์งามยามดีจะเกิดขึ้นเมื่อเราพร้อม เช่นเมื่อเรามีทุนค้าขาย แสดงว่าเราพร้อมจะเปิดร้านค้าแล้ว เราจะเปิดเมื่อไรก็ได้
พระพุทธเจ้าบอกว่า เทวดาก็มีกิเลส บนสวรรค์ก็มีกิเลส พรหมก็มีกิเลส ไม่ได้ต่างจากมนุษย์เลย แต่คนส่วนใหญ่ก็ยังอยากไปสวรรค์ ซึ่งทางที่ถูกควรไปนิพพานมากกว่า
พระ พุทธเจ้าไม่เคยบอกว่า ไปวัดกันเถิด ไปวัดกันเถิด พระพุทธเจ้าท่านบอกว่า นับถือศิล 5 อย่างเคร่งครัดชีวิตก็มีัความสุขแล้ว (สมัยพุทธกาลมีคนประสบความสำเร็จเพราะนับถือศีลแค่ข้อเดียวมาแล้ว หาอ่านดู)
อีก ข้อหนึ่ง ข้อนี้สำคัญมาก เรื่องของกรรม พระพุทธเจ้าท่านบอกว่า บุคคลทำกรรมเช่นไร ย่อมได้ผลเช่นนั้น ผมขออธิบายตามความเข้าใจของผมว่า กรรมนั้น เราอย่าคิดไปไกลถึงชาติก่อนชาติหน้าเลย คิดแค่ชาตนีั้พอ(ปัจจุบันดีที่สุด) เช่น นาย ก ขยันเรียน อ่านหนังสือทุกวัน ทบทวนบทเรียนเข้าใจ นาย ก จึง สอบได้ที่ลำดับต้น ๆ เป็นประจำ นาย ข ทำงานดี ขยัน ไม่อู้งาน พัฒนางานที่ทำอยู่เป็นประจำ นาย ข จึงได้ขึ้นเงินเดือนทุกปีและได้เลื่อนตำแหน่งอย่างรวดเร็วผมจะ บอกให้ ถ้าคุณคิดถึงเรื่องกรรมเพียงแต่นี้ ชีวิตคุณก็จะดีมากแล้ว แต่ถ้าคุณคิดมากเกินไป ชาติก่อน ชาติหน้า ชาติไหน ชีวิตไม่เป็นสุขหรอกครับ เดียวก็ต้องสะเดาะเคราะห์ เดี๋ยวก็ต้องเปลี่ยนชื่อ เดียวก็ต้องตั้งศาลพระภูมิ เดี๋ยวก้ต้องไปวิปัสสนา วิปัสสนาแล้วก็เห้นโน่นเห็นนี่ ไปกันใหญ่ เอาแค่ปัจจุบันทำให้ดีก็พอ
เรื่อง ของผมที่เล่าให้ฟัง ท่านอาจสรุปล่วงหน้าไปว่า ผมกลายเป็นคนธรรมมะธรรมโม ชอบนั่งวิปัสสนา เชื่อเรื่องชาติภพ แต่จริง ๆ แล้ว เปล่าเลยครับ เมื่อผมศึกษาธรรมมะ ทั่งพุทธ คริสต์ อิสลาม พราหมณ์ ฮินดู นอกจากนั้นผมยังศึกษาปรัชญาจีน กรีก ไทย ทำให้ผมได้รู้สิ่งหนึี่งว่า
จิตของคนเรามีแรงผลักดัน แรงผลักดันนั้นมี 2 อย่าง
1. แรงผลักดันจากจิตของเราเอง หรือจากผู้อื่น เช่น ผมถูกจิตของตนเองกดดันอย่างหนักให้ศึกษาธรรมมะ เพราะผมต้องการรู้ว่าเกิดอะไรขึ้นกับผม หรือคนที่ถูกเลี้ยงดูมาแบบตามใจ จิตของเขาก็มีแรงกดดันให้กระทำการใด ๆ ให้ได้มาซึ่งสิ่งที่ต้องการ ถ้าตัดอคติแบบมนุษย์ออก เราจะเข้าใจเขา(แต่การตอบสนองพฤติกรรมของเขาก็อีกเรื่องหนึ่ง)
2. แรงผลักดันจากธรรมชาติ อันนี้สำคัญ ยกตัวอย่าง คือ ความยุติธรรม กฏแห่งกรรม นรกสวรรค์ บาป บุญ คุณ โทษ
(อยู่ ในหมวดความยุติธรรมนั่้นแหละ) อธิบายได้ว่า เมื่อเราเห็นคนทำชั่ว แรงผลักดันจากธรรมชาติก็จะออกแรงผลักจิตของเราว่า คน ๆ นี้ต้องได้รับความชั่วตอบแทน เรียกว่าแนวคิดต่างตอบแทน เมื่อเราเห็นคนทำดี เราก็จะโดนธรรมชาติของจิตออกแรงผลัก ว่า คนๆ นีั้ต้องได้รับผลดี
ถ้าเราเห้นคนทำชั่วแล้วเราไม่คิดอะไร นั่นคือจิตของเราผิดปกติ เพราะไม่มีแนวคิดต่างตอบแทนที่ว่า
พอจะมองเห็นแล้วใช่มั้่ยครับว่า จิตของคนเราทำงานอย่างไร ถูกธรรมชาติผลักดันอย่างไร
และ ขอสรุปเลยว่า ผมเองเชื่อเรื่องแรงผลักดันจิตของธรรมชาติ ผมไม่ได้ปักใจไม่เชื่อสิ่งลี้ลับ แต่เมื่อต้องคิดเกี่ยวกับเรื่องนี้ ผมจะใช้หลักธรรมของพระพุทธเ้จ้ามาพิจารณา
หากมีเจ้ากรรมนายเวรมาหา ผม ผมจะบอกเขาว่า เรื่องในชาติก่อน ผมไม่ขอรับรู้ ไม่ขอชำระบาป ไม่ขอเกี่ยวข้องใด ๆ ทั้งสิ้น เพราะผมจำไม่ได้ ถึงผมจำได้ผมก็จะไม่ทำอะไร จบแล้วจบกัน ถ้าผมทำให้คนเป็นล้านตายจริง ผมต้องรับผิดชอบอย่างไรไหว
เรื่อง กฏแห่งกรรม บาป บุญ ผมก็ไม่ได้ยึดติด แต่ผมเป็นคนดีแน่นอน ผมทำดีเพราะคิดว่ามันเป็นหน้าที่ของคนในสังคมทุกคน ผมทำชั่วไม่ได้เพราะมันไม่ใช่ตัวผม มันเสียศักดิ์ศรี
สุดท้ายผม ขอบอกทุกท่านว่า การทำความดีนั้นเปรียบเสมือนการปลูกดอกไม้ เมื่อดอกไม้งอกงาม ออกดอก เราก็จะรู้สึกชื่นใจ สบายใจ เมื่อคนทั่วไป หรือคนข้างบ้านมาเห็น เขาก็อยากปลูกดอกไม้บ้าง ถ้าคนในสังคมปลูกดอกไม้กันทุกคน จะดีแค่ไหน ท่านคิดดู
แถมอีกนิด ผมได้เห็นได้อ่าน หลายคนบอกว่า ไม่อยากเกิดอีก อยากไปนิพพาน ผมจะบอกให้ว่า ถ้าท่านคิดแบบนีั้ ยาก มันเป็นอุปาทานอย่างหนึ่งเหมือนกัน สำหรับผม เกิดก็ได้ไม่เกิดก็ได้ ถ้าได้เกิดอีก ผมจะทำความดีช่วยเหลือเพื่อนมนุษย์ ถ้าไปนิพพานเสียก่อนก็โอเคถือว่าดี ขอให้ทุกท่านจำคำพระพุทธเจ้าไว้ ใช้ชีวิตอย่าประมาท ตนเองนั่นแหละที่จะพึงตนเองได้ดีที่สุด
สวัสดี