วันศุกร์ที่ 29 ตุลาคม พ.ศ. 2553

ทำไมผู้หญิงถึงต้อง "ยิงเรือ"



บ่อยครั้งที่เรามักได้ยินผู้ชายบ่น ว่าทำไมหนอ ผู้ชายพายเรือมาดี ๆ มาเจอผู้หญิง ซึ่งก็ไม่ได้มีความโกรธแค้นกันมา ไม่ได้เป็นโจทย์ จำเลย หรือมีเรื่องมีราวกันมาก่อน กลับมา "ยิงเรือ" ที่ผู้ชายพายมาซะได้ ซึ่งก็ไม่มีใครระบุไว้ในตำราไหน ว่าถ้าผู้หญิงเห็นผู้ชายพายเรือมา แล้วต้องเอา M-79 มายิงเรือ ให้วอดวายบรรลัยจักร วางวายกันไปข้างหนึ่ง

เรื่องมันมีอยู่ว่า เมื่อก่อน (หลายร้อยปีก่อน) เราไม่ได้พูดว่า ผู้หญิงยิงเรือ เริ่มแรกสุด เราใช้ว่า

"ผู้หญิงริงเหรื่อ ผู้ชายรายเหรื่อ"

ในสองประโยคนี้ คำว่า "ริง" ไม่มีความหมาย (อย่าบอกนะว่า แปลว่า แหวน) เป็นคำที่ใช้ต่อในประโยค เพื่อความคล้องจอง ทำไมต้องคล้องจอง อ้าว ก็มันคือภาษาไทยนี่จ๊ะ ภาษาไทยเป็นภาษาที่สละสลวยสวยเก๋ มีเอกลักษณ์เฉพาะตัว

"ผู้หญิงริงเหรื่อ ผู้ชายรายเหรื่อ" แปลว่าอะไร แปลว่าผู้หญิงทั่ว ๆ ไป และผู้ชายทั่ว ๆ ไป หรือถ้าอยากได้ความหมายแบบเฉพาะเจาะจง ก็แปลว่า ผู้หญิงธรรมดา ผู้ชายธรรมดา ทั่วไป ๆ เหมือนคำว่า "ไพร่" ที่หมายถึงประชาชนทั่วไป ไม่ใช่ทาส ไม่ใช่เจ้านาย ไม่ใช่ขุนนาง คำว่า "เหรื่อ" เหลือมาใช้ในปัจจุบันแค่คำเดียว คือคำว่า "แขกเหรื่อ" หมายถึงแขกทั่ว ๆ ไป ไม่ใช่เจ้าสาว เจ้าบ่าว เจ้าภาพ หรือคนสำคัญในงานนั้น ๆ คำว่า "เหรื่อ" คำเดียวโดด ๆ ไม่มีและไม่มีความหมาย (เกือบสูญพันธุ์ไปแล้ว)

ประวัติศาสตร์ การยิงถล่มเรือผู้ชายของผู้หญิงยังไม่จบ ในเวลาต่อมา "ผู้หญิงริงเหรื่อ ผู้ชายรายเหรื่อ" กลายมาเป็น

"ผู้หญิงริงเรือ ผู้ชายรายเรือ"

เอาล่ะสิ จากเหรื่อเป็นเรือ คนละความหมายกันเลย จาก "ทั่วไป" กลายเป็น "ยานพาหนะทางน้ำ" ไปซะนี่ ผู้หญิงริงเรือ ความหมายยังไม่แน่ชัด ว่าทำอะไรกับเรือกันแน่ แต่ผู้ชายรายเรือ อาจหมายถึง ผู้ชายที่โดยสารมากับเรือ หรือ อาศัยอยู่บนเรือ หรืออะไรทำนองนั้น

มาจนปัจจุบัน เราใช้ "ผู้หญิงยิงเรือ ผู้ชายพายเรือ" ซึ่งบางคนสงสัยว่า ผู้ชายยังไม่ทันจะพายเรือเลย ผู้หญิงยิงก่อนแล้ว อะไรจะโกรธแค้นกันขนาดนั้น จริง ๆ แล้วก็เป็นอย่างที่ได้อรรถาธิบายมา

ในอนาคต "ผู้หญิงยิงเรือ ผู้ชายพายเรือ" อาจเพี้ยนไปอีก เป็น "ผู้หญิงลิงเรือ ผู้ชายลายเรือ" ผู้หญิงอาจกลายเป็น "ลิง" ที่โดยสารมาบนเรือ ผู้ชายก็เป็นเจ้าของลิงที่สักยันต์รูปเรือ ก็เป็นได้
คราวนี้ "ผู้หญิง" จะได้เลิก "ยิงเรือ" เสียที

Ball Fury ปิงปองติงต๊องหรือฮอลลีวู้ดติงต๊อง



Ball Fury เป็นหนังตลกเกือบมีสาระอีกเรื่องหนึ่งของฮอลลีวู๊ด ดูแล้วให้คิดเปรียบเทียบกับหนังสือการ์ตูนญี่ปุ่น หลายเรื่องที่อ่านแล้วรู้สึกสนุกและตลก แต่ในความตลกนั้นมีแก่นสาระของเนื้อเรื่องที่มีความจริงจัง ทำให้ผู้อ่านยอมรับในสิ่งที่นักเขียนการ์ตูนพยายามจะสื่อให้เห็น การ์ตูนหลายเรื่องไม่ได้ตั้งใจจะเสนอความตลกเป็นแกนหลักของเรื่อง แต่ก็มีมุขตลกเดินเรื่องควบคู่กันไปตลอดทั้งเรื่อง อ่านแล้วไม่เบื่อ ขอยกตัวอย่างเช่นเรื่อง ข้าชื่อโคทาโร่ , GTO , วันพีซ , นักเตะเลือดกังฟู เป็นต้น แม้ว่าจะมีความตลกอย่างไร สุดท้ายก็จะรักษาแกนกลางของเรื่องไว้อย่างคงที่

การตีปิงปองกลางป่า บนสะพาน โดยไม่มีโต๊ะ การที่นักปิงปองร้างโต๊ะปิงปองไป 18 ปี กลับมาเอาชนะเซียนปิงปองแห่งไชน่าทาวน์ได้อย่างง่ายดาย การตีปิงปองแบบ 1 ต่อ 2 หรือ 1 ต่อ 4 ดูจะเกินจากความเป็นจริงเกินไป พาลทำให้ดูไม่ตลกไปเสีย และนั่นก็เป็นสิ่งที่ฮอลลีวู๊ดทำอยู่เป็นประจำ

แม้บทสนทนาในหนังบ่อยครั้งจะพูดว่า “มันไม่ใช่แค่ปิงปอง แต่มันเป็นยิ่งกว่า เป็นสิ่งแสดงถึงความเป็นคนจีน เป็นวัฒนธรรม เป็นสิ่งที่สืบทอดกันมาแต่บรรพบุรุษ” แต่สิ่งที่ตัวละครแสดงออกล้วนแต่แสดงออกถึงความไม่นับถือความเป็นชาติจีน ความเป็นเอเชีย หรือความเป็นกีฬาปิงปอง ซึ่งก็เป็นผลมาจากการไม่นับถือความเป็นตะวันออกของชาวตะวันตกนั่นเอง ซึ่งเรามักจะเห็นบ่อย ๆ ในหนังที่เกี่ยวกับกังฟู ที่สร้างโดยฮอลลีวู๊ด พระเอกฝรั่งมักเอาชนะจอมยุทธ์กังฟูอย่างง่าย ๆ โดยไม่มีเทคนิคอะไรเลย หรือไม่ก็นำเอากังฟูมายำจนเละดูไร้สาระเต็มรูปแบบ
หาก Ball Fury เป็นการ์ตูนญี่ปุ่น เราคงเห็นการดวลปิงปองที่สนุกสนาน สมศักดิ์ศรีนักปิงปอง เหมือนการ์ตูนเรื่อง กลมกลิ้ง สิงห์ปิงปอง ที่สร้างความประทับใจให้นักอ่านมาแล้วทั้งในญี่ปุ่นและต่างประเทศ
การใส่มุขตลกแต่เพียงอย่างเดียวในหนัง ก็ไม่ต่างอะไรกับการกินก๋วยเตี๋ยวที่ไม่มีอะไรนอกจากลูกชิ้น นั่นมันก็ไม่ใข่ก๋วยเตี๋ยวแต่เป็นแค่ซุปลูกชิ้น อาจสร้างความผิดหวังให้คนกินที่หวังจะกินก๋วยเตี๋ยวให้อร่อย คำว่า “สนุก” กับ “ตลก” นั้นต่างกัน คำว่าสนุกนั้นประกอบด้วยศาสตร์และศิลป์ แต่คำว่าตลกนั้น บางครั้งก็แฝงไว้ด้วยความไร้สาระ
ถ้าฮอลลีวู๊ดแยกคำสองคำนี้ออก หนังตลกไร้สาระคงจะหมดไป อยากแนะนำว่าให้ลองไปปรึกษาสำนักพิมพ์การ์ตูนญี่ปุ่นดู เผื่อจะได้อะไรดี ๆ บ้าง

วันอาทิตย์ที่ 24 ตุลาคม พ.ศ. 2553

แรงผลักดันจากธรรมชาติสู่จิตทำให้คิดเรื่องเวรกรรม




ตั้งแต่เกิดจนอายุ 12 ปี ผมมักไม่สบายบ่อย เจ็บออด ๆ แอด ๆ ตอนเรียนประถมเข้าห้องพยาบาลบ่อยมาก
ตอนผมไม่สบาย มักไม่ตัวร้อน แต่จะเกิดภาพหลอน คือภาพคนหลายคน ในความคิดแว่บขึ้นมาว่าประมาณ 1 ล้านคน กำลังวิ่งเข้าใส่กัน
คน พวกนั้นไม่ใช่ทหาร แต่แต่งตัวหลากสีหลายแบบคละกันไป วิ่งเข้าใส่กันเพื่อฆ่ากัน ในใจผมนึกแว่บขึ้นมาว่าเป็นชาวเขมร แต่ตอนนั้นยังเด็กยังไม่รู้เรื่องประวัติศาสตร์โลกน้่อยมาก มารู้ภายหลังว่าเขมรมีการฆ่าล้างเผ่าพันธ์กันตายไปประมาณ 2 ล้านคน

เป็น 12 ปีที่ทรมานพอสมควรเวลาไม่สบาย ในใจรู้สึกได้ว่าเราเป็นต้นเหตุให้คนฆ่ากันเป็นล้าน หลังขึ้น ม.ต้นอาการเหล่านั้นก็หายไปแต่มีอาการอื่นมาแทน คือ อาการนอนแล้วตื่นขึ้นมาลุกขึ้นไม่ได้ ทรมาน อึดอัดมาก พออึดอัดก็ฮึดสู้ กัดฟันลุกขึ้นมา ปรากฏว่ารู้สึกว่าเราออกมาจากร่างกายตัวเอง มองเห็นตัวเองนอนอยู่ เป็นอยู่หลายครั้ง รู้สึกกลัวมาก

พ่อของผมทำงานอยู่ที่วัด เป็นคนนำพระสวด ท่านมักนำหนังสือธรรมมะมาให้อ่านประจำ ผมก็ชอบอ่านมาก

ผมอ่านหนังสือธรรมมะทำให้ได้รู้สิ่งที่พระพุทธเจ้าสอน พอโตขึ้น ผมก็รู้อึกว่า

1. คนส่วนใหญ่นับถือพระธรรมและพระพุทธเจ้า แต่ก็ไม่ได้เชื่อฟังพระพุทธเจ้าเท่าไรนัก เช่นพระพุทธเจ้าบอกว่า ฤกษ์งามยามดีเป็นสิ่งที่คนเราคิดไปเอง ฤกษ์งามยามดีจะเกิดขึ้นเมื่อเราพร้อม เช่นเมื่อเรามีทุนค้าขาย แสดงว่าเราพร้อมจะเปิดร้านค้าแล้ว เราจะเปิดเมื่อไรก็ได้

พระพุทธเจ้าบอกว่า เทวดาก็มีกิเลส บนสวรรค์ก็มีกิเลส พรหมก็มีกิเลส ไม่ได้ต่างจากมนุษย์เลย แต่คนส่วนใหญ่ก็ยังอยากไปสวรรค์ ซึ่งทางที่ถูกควรไปนิพพานมากกว่า

พระ พุทธเจ้าไม่เคยบอกว่า ไปวัดกันเถิด ไปวัดกันเถิด พระพุทธเจ้าท่านบอกว่า นับถือศิล 5 อย่างเคร่งครัดชีวิตก็มีัความสุขแล้ว (สมัยพุทธกาลมีคนประสบความสำเร็จเพราะนับถือศีลแค่ข้อเดียวมาแล้ว หาอ่านดู)

อีก ข้อหนึ่ง ข้อนี้สำคัญมาก เรื่องของกรรม พระพุทธเจ้าท่านบอกว่า บุคคลทำกรรมเช่นไร ย่อมได้ผลเช่นนั้น ผมขออธิบายตามความเข้าใจของผมว่า กรรมนั้น เราอย่าคิดไปไกลถึงชาติก่อนชาติหน้าเลย คิดแค่ชาตนีั้พอ(ปัจจุบันดีที่สุด) เช่น นาย ก ขยันเรียน อ่านหนังสือทุกวัน ทบทวนบทเรียนเข้าใจ นาย ก จึง สอบได้ที่ลำดับต้น ๆ เป็นประจำ นาย ข ทำงานดี ขยัน ไม่อู้งาน พัฒนางานที่ทำอยู่เป็นประจำ นาย ข จึงได้ขึ้นเงินเดือนทุกปีและได้เลื่อนตำแหน่งอย่างรวดเร็ว


ผมจะ บอกให้ ถ้าคุณคิดถึงเรื่องกรรมเพียงแต่นี้ ชีวิตคุณก็จะดีมากแล้ว แต่ถ้าคุณคิดมากเกินไป ชาติก่อน ชาติหน้า ชาติไหน ชีวิตไม่เป็นสุขหรอกครับ เดียวก็ต้องสะเดาะเคราะห์ เดี๋ยวก็ต้องเปลี่ยนชื่อ เดียวก็ต้องตั้งศาลพระภูมิ เดี๋ยวก้ต้องไปวิปัสสนา วิปัสสนาแล้วก็เห้นโน่นเห็นนี่ ไปกันใหญ่ เอาแค่ปัจจุบันทำให้ดีก็พอ

เรื่อง ของผมที่เล่าให้ฟัง ท่านอาจสรุปล่วงหน้าไปว่า ผมกลายเป็นคนธรรมมะธรรมโม ชอบนั่งวิปัสสนา เชื่อเรื่องชาติภพ แต่จริง ๆ แล้ว เปล่าเลยครับ เมื่อผมศึกษาธรรมมะ ทั่งพุทธ คริสต์ อิสลาม พราหมณ์ ฮินดู นอกจากนั้นผมยังศึกษาปรัชญาจีน กรีก ไทย ทำให้ผมได้รู้สิ่งหนึี่งว่า

จิตของคนเรามีแรงผลักดัน แรงผลักดันนั้นมี 2 อย่าง

1. แรงผลักดันจากจิตของเราเอง หรือจากผู้อื่น เช่น ผมถูกจิตของตนเองกดดันอย่างหนักให้ศึกษาธรรมมะ เพราะผมต้องการรู้ว่าเกิดอะไรขึ้นกับผม หรือคนที่ถูกเลี้ยงดูมาแบบตามใจ จิตของเขาก็มีแรงกดดันให้กระทำการใด ๆ ให้ได้มาซึ่งสิ่งที่ต้องการ ถ้าตัดอคติแบบมนุษย์ออก เราจะเข้าใจเขา(แต่การตอบสนองพฤติกรรมของเขาก็อีกเรื่องหนึ่ง)

2. แรงผลักดันจากธรรมชาติ อันนี้สำคัญ ยกตัวอย่าง คือ ความยุติธรรม กฏแห่งกรรม นรกสวรรค์ บาป บุญ คุณ โทษ
(อยู่ ในหมวดความยุติธรรมนั่้นแหละ) อธิบายได้ว่า เมื่อเราเห็นคนทำชั่ว แรงผลักดันจากธรรมชาติก็จะออกแรงผลักจิตของเราว่า คน ๆ นี้ต้องได้รับความชั่วตอบแทน เรียกว่าแนวคิดต่างตอบแทน เมื่อเราเห็นคนทำดี เราก็จะโดนธรรมชาติของจิตออกแรงผลัก ว่า คนๆ นีั้ต้องได้รับผลดี

ถ้าเราเห้นคนทำชั่วแล้วเราไม่คิดอะไร นั่นคือจิตของเราผิดปกติ เพราะไม่มีแนวคิดต่างตอบแทนที่ว่า

พอจะมองเห็นแล้วใช่มั้่ยครับว่า จิตของคนเราทำงานอย่างไร ถูกธรรมชาติผลักดันอย่างไร

และ ขอสรุปเลยว่า ผมเองเชื่อเรื่องแรงผลักดันจิตของธรรมชาติ ผมไม่ได้ปักใจไม่เชื่อสิ่งลี้ลับ แต่เมื่อต้องคิดเกี่ยวกับเรื่องนี้ ผมจะใช้หลักธรรมของพระพุทธเ้จ้ามาพิจารณา

หากมีเจ้ากรรมนายเวรมาหา ผม ผมจะบอกเขาว่า เรื่องในชาติก่อน ผมไม่ขอรับรู้ ไม่ขอชำระบาป ไม่ขอเกี่ยวข้องใด ๆ ทั้งสิ้น เพราะผมจำไม่ได้ ถึงผมจำได้ผมก็จะไม่ทำอะไร จบแล้วจบกัน ถ้าผมทำให้คนเป็นล้านตายจริง ผมต้องรับผิดชอบอย่างไรไหว

เรื่อง กฏแห่งกรรม บาป บุญ ผมก็ไม่ได้ยึดติด แต่ผมเป็นคนดีแน่นอน ผมทำดีเพราะคิดว่ามันเป็นหน้าที่ของคนในสังคมทุกคน ผมทำชั่วไม่ได้เพราะมันไม่ใช่ตัวผม มันเสียศักดิ์ศรี

สุดท้ายผม ขอบอกทุกท่านว่า การทำความดีนั้นเปรียบเสมือนการปลูกดอกไม้ เมื่อดอกไม้งอกงาม ออกดอก เราก็จะรู้สึกชื่นใจ สบายใจ เมื่อคนทั่วไป หรือคนข้างบ้านมาเห็น เขาก็อยากปลูกดอกไม้บ้าง ถ้าคนในสังคมปลูกดอกไม้กันทุกคน จะดีแค่ไหน ท่านคิดดู

แถมอีกนิด ผมได้เห็นได้อ่าน หลายคนบอกว่า ไม่อยากเกิดอีก อยากไปนิพพาน ผมจะบอกให้ว่า ถ้าท่านคิดแบบนีั้ ยาก มันเป็นอุปาทานอย่างหนึ่งเหมือนกัน สำหรับผม เกิดก็ได้ไม่เกิดก็ได้ ถ้าได้เกิดอีก ผมจะทำความดีช่วยเหลือเพื่อนมนุษย์ ถ้าไปนิพพานเสียก่อนก็โอเคถือว่าดี ขอให้ทุกท่านจำคำพระพุทธเจ้าไว้ ใช้ชีวิตอย่าประมาท ตนเองนั่นแหละที่จะพึงตนเองได้ดีที่สุด

สวัสดี

วันศุกร์ที่ 22 ตุลาคม พ.ศ. 2553

ผมคือผู้กำกับระดับโลก


ผมคือผู้กำกับหนังและผู้สร้างหนัง ใคร ๆ ก็รู้จักผม แต่หนังที่ผมสร้างและกำกับ ไม่ใช่หนังที่พวกคุณชอบดูกันหรอก เดี๋ยวจะเล่าให้ฟังว่าเป็นอย่างไร

ผมเป็นคนชอบดูหนัง มาตั้งแต่เด็ก ๆ ตอนนั้นหนังที่ผมดูก็เป็นหนังทั่วไป เมื่อโตขึ้นผมอยากทำหนังบ้าง แต่ผมก็ไม่ใช่ลูกมหาเศรษฐี ไม่มีเงินเป็นร้อยล้านพันล้าน ก็เลยทำหนังที่ทำได้ หนังที่ผมทำผมก็เอาคนทั่วไป ชาวบ้านธรรมดานี่แหละครับ มาแสดง ไม่ต้องจ้างแพง ๆ คนทั่วไปไม่คิดแพง ไม่เล่นตัว ถึงจะเล่นไม่เป็นธรรมชาติก็เถอะ เนื้อเรื่องของหนังน่ะเหรอ ผมก็ด้นมันไปเรื่อยแหละครับ ส่วนมากก็เป็นเรื่องชาวบ้่าน ๆ ทั่วไป ก็มันเป็นหนังแนวอิสระนี่ครับ จะให้ลงทุนเป็นร้อยล้านดอลล่า ก็กระไรอยู่ ผมเองก็ไม่ใช่นักเขียนนิยาย เลยคิดเนื้อเรื่องไม่ค่อยออก

ผมก็ทำหนังของผมเรื่อยมาล่ะครับ หนังของผมค่อนข้างแปลก ไม่เหมือนใคร จะว่าเป็นหนังสั้นแบบมือใหม่ก็ไม่ใช่ ฝีมือผมก็พอมี ผมคิดว่าหนังของผมมันก็พอดูได้ ไม่ได้หวังให้มันหวือหวา ตลาด เหมือนหนังอื่น

ผมทำหนังไปได้สักพัก หนังของผมก็เริ่มเข้าตากรรมการ กรรมการที่ว่านี่ก็คือ กรรมการที่ตัดสินรางวัลหนังตามเทศกาลหนังต่าง ๆ เขาว่าหนังของผมมันศิลปะชัด ๆ ผมเองก็เออออไปกับเขาด้วย ผมไม่รู้หรอกว่าหนังผมมันศิลปะหรือไม่ ผมทำเพราะอยากทำ เอาชาวบ้านมาแสดงเพราะทุนน้อย ส่วนเนื้อเรื่องก็คิดมันไปเรื่อย บางทีผมดูเองก็ไม่รู้เรื่องเหมือนกัน คนทั่วไปไม่ต้องพูดถึง งงกันเป็นแถว วิพากย์วิจารณ์กันไปต่าง ๆ นานา คุณไม่รู้อะไร หนังน่ะ ถ้าคุณทำออกมาแบบ Perfectionism ล่ะก็ คุณจะไม่ได้รางวัลอะไรหรอก คุณต้องทำให้มันคลุมเคลือ ดูยาก หนังแบบนี้แหละที่ได้รางวัล ผมจะบอกให้ กรรมการตัดสินหนังเทศกาลต่าง ๆ เขาไม่ให้เครดิตกับหนังตลาด ๆ หรอก เพราะมันดูง่าย ถ้ากรรมการให้รางวัลหนังตลาด พวกเขากลัวว่ามาตรฐานการตัดสินหนังจะด้อยค่า เขาจะเลือกเอาหนังที่คนดูดูไม่รู้เรื่อง ยิ่งดูแล้วงงง่วงเหงาเท่าไหร่ยิ่งดี ก็คุณดูอย่างรางวัลออสการ์สิ หลายเรื่องดูแล้วไม่รู้เรื่องเอาซะเลย นั่นแหละที่ผมเดาใจพวกเขาถูก ส่งหนังชิงหลายครั้งก็ได้ทุกครั้ง

หนังก็คือหนัง ถ้าคุณมาวิจารณ์หนังผมว่า ดี หรือ ไม่ดี อย่างไร ผมก็ยอมรับได้ นั่นมันแล้วแต่คุณตีความ ผมจะไม่ตีความหนังของผมให้คุณฟังหรอกว่ามันหมายถึงอะไร มันสื่ออะไรออกมาบ้าง คนดูได้อะไรจากหนังเรื่องนี้ มันเป็นศิลปะ คุณก็ต้องตีความกันเอาเอง อย่ามาถามผม ผมเองยังงงหนังตัวเองเลย

ทุกวันนี้ผมก็ยังชอบดูหนังตลาดทั่วไป ดูแล้วสนุกจริง ๆ หนังพวกนั้นดูแล้วได้ข้อคิด หนังพวกนั้นเป็นอะไรที่พอดี ไม่ง่้าย ไม่ยากในการดู ผมเองก็อยากทำหนังอย่างนั้นบ้าง แต่มันไม่ถนัด และกลัวขาดทุน ไม่ว่าจะออกเงินเอง หรือกำกับให้นายทุน ผมก็เลยทำหนังคลุมเคลือของผมต่อไป และหวังว่าสักวันมันคงได้เข้าชิงหนังยอดเยี่ยมสาขาภาพยนตร์ต่างประเทศสักวัน ถ้าพวกกรรมการตัดสิน ไม่มีอคติกับหนังตะวันออกของพวกเรา

มีคนบอกผม เขาเป็นนักวิจารณ์ในอินเตอร์เน็ต เขาใช้ชื่อในเน็ตว่า wareerant เขาบอกว่า คัมภีร์ไตรปิฎกมี 84,000 พระธรรมขันธ์ แต่สามารถย่อให้เหลือแค่ไม่ก็คำคือ "ทุกสิ่งเกิดขึ้นเป็นธรรมดา ตั้งอยู่เป็นธรรมดา และดับไปก็เป็นธรรมดา" การทำหนังก็เหมือนกัน เขาบอกว่า คัมภีร์การทำหนัง มีหลายหมื่นหลายพันทฤษฎี แต่สามารถย่อให้เหลือไม่กี่คำว่า "จะมีประโยชน์อะไร......ถ้า......คนทำหนัง.......ทำหนังออกมา......แล้ว......ไม่สามารถสื่อสารกับคนดูได้........และ.....คนดู นึกไม่ออกว่า....ได้อะไรจากการดูหนังเรื่องนั้นบ้าง" แหม เขาพูดได้คมจริง ๆ ผมก็เห็นด้วยกับเขานะ แต่ผมก็เป็นของผมอย่างนี้ ผมก็เลยตอบเขาว่า เอาเงินมาให้ผมสิ ให้ผมทำหนังตลาด แต่ถ้าผมทำเจ๊งก็อย่ามาโทษกันก็แล้วกัน

ก็ผมทำหนังแบบนั้นไม่เป็นนี่

เบื่ออินเตอร์เน็ต



เบื่ออินเตอร์เน็ตครับ เล่นมาตั้งแต่หนุ่มมากยันหนุ่มน้อย รู้สึกว่าอิ่มตัว ไม่มีอะไรน่าสนใจอีกแล้ว อยากไปทำอย่างอื่น อยากไปตกปลา ไปเดินป่า ไปเที่ยวชนบท ไปปีนเขา ไปดำน้ำ ไปขายลูกชิ้นปิ้ง อยากเล่นฟุตบอล อยากเล่นบาสเก็ตบอล เบสบอล เทนนิส แบดมินตัน อยากเขียนจดหมายในกระดาษส่งไปรษณีย์ อยากเดินทางไกล อยากเข้าค่ายลูกเสือ อยากไปเที่ยวสวนสัตว์ สวนน้ำ สวนนก สวนจรเข้ สวนยางพารา สวนเงาะ สวนทุเรียน สวนองุ่น สวนมังคุด ละมุด ลำใย มะเฟือง มะไฟ มะกรูด มะนาว มะพร้าว ส้มโอ ฟักแฟง แตงโม ไชโยโห่ฮิ้ว อยากไปเที่ยวภาคเหนือ ภาคกลาง ภาคอิสาน ภาคใต้ ภาคตะวันออก ตะวันตก อยากไปทำอะไรอีกมากมายที่ไม่เกี่ยวข้องกับอินเตอร์เน็ต อย่างน้อยก็สักพัก ให้ห่างไกลจากมัน ห่างจากเครื่องหมาย ตัวอีสีฟ้ามีวงแหวนสีเหลือง และหมาป่าม้วนตัวสีแดง หลบไปหาอะไรเชย ๆ สักพักคงดี

wanwan017

วันอังคารที่ 19 ตุลาคม พ.ศ. 2553

สาเหตุของการบวช

การบวชของคนเรานั้นมีหลายสาเหตุ เรามาดูกันว่าการบวชของคนเรานั้น มีสาเหตุมาจากเรื่องใดบ้าง

1. อกหัก เมื่อความรักไม่สมหวัง จิตใจมันช่างหดหู่ เมื่อเรารักเขาแต่เขาไม่รักเรา จะทำอย่างไร จิตใจมันสับสนวุ่นวาย ว้าวุ่น ต้องการความสงบ ก็ขอบวชดีกว่า ดีกว่าไปทำร้ายคนที่เรารัก คนที่มารักคนรักของเราหรือทำร้ายตัวเองให้เป็นบาปเป็นกรรม ติดตัวไปชาตินี้และชาติหน้า แต่เมื่อบวชแล้วก็ไม่มีใครรับรองได้หรอกครับว่า จะจิตใจสงบหรือเปล่า

2. หลักลอย คนหลักลอยคือคนไม่มีหลักฐานบ้านช่องมั่นคง ไม่มีงานหรือมีแต่เป็นงานที่มีรายได้น้อย ไม่มีเงินหรือมีแต่มีน้อย ไม่สามารถสร้างความมั่นคงให้ตัวเองหรือใคร ๆ ได้ มองเห็นพระภิกษุ มีงาน(สวดศพ สวดเจริญพระพุทธมนต์ เทศนา ฯลฯ) มีเงิน ญาติโยมถวายลาภสักการะมากมาย ก็เอาวะ บวชดีกว่า บวชตลอดชีวิตก็ดี หรือบวชสักพัก มีเงินเยอะแล้วค่อยสึกออกมาทำอะไร ๆ ก็ได้

3. คอยงาน เรียนจบมาแล้ว หางานทำไม่ได้ หรือทำงานอยู่ดี ๆ เจ้าของกิจการกราบเรียนเชิญให้ออก เนื่องจากเศรษฐกิจตกต่ำ หรือทำงานไม่คุ้มกับค่าจ้าง เอาไว้ก็รังแต่จะสิ้นเปลืองค่าใช้จ่าย ออกจากงานแล้วก็ำทำไงล่ะ หางานได้ก็ดีไป หางานไม่ได้ทำไงล่ะ ไม่มีเงินใช้ หันซ้ายหันขวาเห็นพระคุณเจ้าไม่เคยตกงานเลย มีแต่งานเข้าตลอด บวชดีกว่า

4. สังขารเสื่อม เหตุนี้มักเิกิดกับผู้สูงอายุ คือกำลังวังชาถดถอย จากที่เคยทำงานได้ ก็เริ่มไม่มีแรง ไม่คล่องแคล่วเหมือนตอนหนุ่ม ๆ โดยเฉพาะผู้สูงอายุ ถ้าไม่มีกิจการอะไรเป็นของตัวเอง มักเหี่ยวเฉา ไม่สดชื่น เมื่อได้บวชแล้ว ก็มีญาติโยมมาหา มาปรึกษา มานิมนต์ไปทำโน่นทำนี่ มาขอหวย ขอเลข มาสักยันต์ ประพรมน้ำมนต์ มาให้เสกพระ ฯลฯ ไม่ว่างเลย สนุกสนาน โดยเฉพาะผู้เกษียณแล้ว เคยชินกับการสั่งโน่นสั่งนี่ ให้คนทำตาม เมื่อมาเป็นพระก็สบาย อยากได้อะไรก็สั่งญาติโยมได้ ญาติโยมคนไหนมีตังค์แล้วเกิดความเลื่อมใส อยากได้อะไรก็เอามาประเคนให้หมด แต่ก็มีบางคนสังขารเสื่อม บวชแล้วสงบเสงี่ยม สำรวม ตามแบบพระที่ดีก็มี ไม่ใช่ไม่ดีเสียหมดทุกองค์ แล้วก็ไม่ใช่แต่ผู้สูงอายุที่สังขารเสื่อม หนุ่ม ๆ ก็มี เช่นอาจมีความไม่สมประกอบอะไรบางอย่าง ไม่สามารถทำงานทำมาหากินได้สมบูรณ์เหมือนคนอื่น ก็ขออาศัยร่มกาสาวพัตร์ เป็นที่พึ่ง

5. เลื่อมใส อันนี้แหละครับ หายาก เรียกว่า นี่แหละ ของแท้ เป็นที่ต้องการมากของพระพุทธศาสนา หากมีผู้มาบวชเพราะเลื่อมใสในพระธรรมคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้าเป็นจำนวนมาก พระพุทธศาสนาของเราก็จะอยู่ยั้งยืนยงไปอีกนาน ซึ่งการบวชโดยเพราะความเลื่อมใสนี้มีจำนวนน้อย ส่วนใหญ่ยังบวชเพราะสาเหตุอื่นอยู่ คือบวชหวังผลใดผลหนึ่ง ไม่ใช่การเสียสละตัวเองเพื่อศาสนาที่แท้จริง

6. ไข่ตาย คำว่าไข่ตายเป็นคำที่พูดกันในภาคใต้ ภาคอื่นไม่รู้เหมือนกันหรือเปล่า คำว่าไข่ตาย พูดเป็นภาษาเขียน คือ หมดสมรรถภาพทางเพศ ต่างกับเสื่อมสมรรถภาพทางเพศ เพราะเืสื่อมสมรรถภาพทางเพศนั้น คือเสื่อม แต่ยังไม่หมด ยังพอทำอะไรได้ แต่หมดสมรรถภาพทางเพศคือ หมดแล้วแหละ ดูได้อย่างเดียว (ฮา) เมื่อไม่สามารถพาตัวเองไปสู่สวรรค์ชั้นดาวดึงค์ สู่จุดสุดยอดของมนุษยชาติได้แล้ว จะอยู่ในโลกแห่งโลกียะต่อไปอีกทำไม่ อย่ากระนั้นเลย บวชเป็นบรรชิตเพศดีกว่าเรา ทำอะไรใครไม่ได้แล้ว ได้แต่นัวเนีย ๆ อย่างเดียว เสียอารมณ์เปล่า ๆ

สรุปสาเหตุของการบวชคือ อกหัก หลักลอย คอยงาน สังขารเสื่อม เลื่อมใส ไข่ตาย 6 ประการ

นี่คือสาเหตุทั้งหมดที่ทำให้คนเราบวช การบวชทดแทนคุณพ่อแม่ บวชหน้าศพ บวชหน้าไฟ บวชเพราะขัดบุพการีไม่ได้ ก็รวมอยู่ในข้อเลื่อมใสแหละครับ แม้ไม่เลื่อมใสในพระุพุทธศาสนา ก็ถือว่าเลื่อมในตัวพ่อแม่พี่น้อง ผู้ที่กระทำการอย่างใดอย่างหนึ่งให้ได้บวช ก็ถือว่าดีมากครับ

สาเหตุที่ได้เล่าเรื่องสาเหตุการบวชให้ได้รับรู้เพราะ ได้ข่าวมาว่า คุณฟิล์ม รัฐภูมิ ซุปเปอร์สตาร์ของเรากำลังจะบวช ไม่รู้เขาคิดเองหรือเปล่า หรือได้รับแรงบันดาลใจจากใคร ถ้าบวชจริงก็ขออนุโมทนาสาธุด้วย เมื่อก่อนนั้น ผมเองคิดว่า ผมไม่เห็นด้วยกับการบวชที่ไม่ใช่มาจากความเลื่อมใส แต่เมื่อได้ยินอุปปัชฌาจารย์ ท่านสั่งสอนพระขณะทำการบวช ท่านกล่าวว่า "ถึงแม้ว่าเธอจะเป็นภิกษุด้วยเหตุอันใด หรือด้วยเวลาเพียงหนึ่งนาที ก็ขอให้ตั้งจิตมั่น กระทำตนเป็นภิกษุที่ดี" ฉนั้น ไม่ว่าจะบวชด้วยเหตุอันใด ก็ขอให้ท่านเป็นพระที่ดี จรรโลงพระพุทธศาสนาต่อไปด้วยเทอญ (ไม่ต้องสาธุ เพราะผมไม่ใช่พระ)